Plarn and Learn
เพลิน (Plearn)
ว้าวๆๆๆๆ
อะไรกันนี่!!!!
22 กรกฎาคม 2555
เพลิน (Plearn) = Play and learn
เพลิน (Plearn) = Play and learn
คงไม่ช้าเกินไปหากจะพูดถึงการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Play and learn และคงไม่มีใครปฎิเสธว่าการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ "เพลิน"เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและสร้าง บรรยากาศที่สุขและสนุกในการเรียน เราลองมาดูความหมายของการจัดการเรียนการสอนแบบ Plearn (เพลิน) กันสักหน่อย เผื่ออาจจะทำให้เข้าใจการจัดการเรียนการสอนแบบนี้มากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านอ่านเขียนเรื่องนี้ของ สมหวัง วิทยาปัญญานนท์ ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารFont : CordiaUPC เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ท่านเขียนไว้ดังนี้คะ
" Plearn (เพลิน) คือ Play (เล่น) สนธิคำกับคำว่า Learn (เรียน) ก็เลยเกิดศัพท์ใหม่ ซึ่งตลกดีเหมือนกัน เอาภาษาอังกฤษสองคำสนธิกันเป็นภาษาไทยได้ความหมายดี ซึ่งฝ่ายค้านอาจคิดว่า เล่น + เรียน น่าจะเป็น = เลี่ยน มากกว่า ก็ปล่อยเขาไป คิดเป็นคำตลกก็ได้อรรถรสดี
เรียนอย่างเดียวก็เบื่อ เกิดทุกข์ มีประโยชน์แต่ไม่จูงใจ เล่นอย่างเดียวก็สนุก เกิดสุข แต่ก็ไร้สาระ ไม่เกิดผลดี
จากสองกรณี จึงไม่ใช่ทางสายกลาง จึงทำให้เกิดปัญหาทำให้ต้องหาคำตอบใหม่คือ
“เรียนให้สนุก และเล่นให้ได้ความรู้” และ
“บูรณาการเรียนและเล่นเป็นหนึ่งเดียว จะทำได้อย่างไร”
ตามหลักพุทธ เรียนเพื่อรู้ รู้เพื่อนำมาปฏิบัติ ปฏิบัติก็เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ ผลลัพธ์ที่เกิดก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงค์ชีวิต การงาน และสังคม
การสอนแบบยัดเยียดให้เรียนเต็มเหนี่ยว เต็มที่ก็เพื่อให้รู้ รู้ก็เพื่อเอาไปสอบ สอบเพื่อให้เลื่อนชั้น สอบเพื่อให้เข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ได้ สอบเพื่อปริญญาบัตร ได้ปริญญาบัตรเพื่อเอาไปสมัครทำงาน เวลาทำงานก็แทบไม่ได้ใช้จากสิ่งที่เรียนมาเลย ถึงใช้ก็น้อยมาก ต้องมาเรียนรู้ใหม่ในองค์กร ถ้าถามว่าเรียนมากๆ จนแทบคลั่งนั้นทำเพื่ออะไร คำตอบที่ได้ก็ไม่รู้ที่สอนไปก็เพื่อเป็นอาชีพ เอาค่าเล่าเรียนมาพัฒนาโรงเรียน เด็กน้อยจบจากโรงเรียนจนเป็นผู้ใหญ่ ก็เป็นผลผลิตจากโรงเรียน แต่โรงเรียน ก็ยังใช้แนวทางเดิมๆ สอนอยู่
ชีวิตมนุษย์นั้น หากพิจารณาดูให้ดี เล่นมากกว่าทำงาน เล่นคือทำสิ่งเพลิดเพลิน ทำให้เกิดความสุข แต่ต้องบริโภคนิยมจากการไปซื้อของไร้สาระ การไปเที่ยว การฟังเพลง การกินข้าวนอกบ้าน การดูหนัง จากจัดกิจกรรมสารพัด ยิ่งวัยเด็กนั้นสัตว์โลกเช่น เสือ สิงโต เขาก็เล่น แต่เขาเล่นเพื่อให้ได้ความรู้ โดยที่เขาไม่รู้ตัว การกระโจนหยอกล้อกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกร่างกาย และความคล่องแคล่ว เป็นการเตรียมพร้อมในการจับเหยื่อ (หาเลี้ยงชีพ) ในตอนโตนั้นเอง แบบจำลองการเล่นของลูกเสือ ก็อาจเป็นตัวอย่างที่ดี ในการเรียนรู้แบบเล่น เรียน ซึ่งเป็นวิถีธรรมชาติ ไม่เครียด และสนุก พร้อมได้ฝึกปฏิบัติด้วย โดยที่ มือ - สมอง – ใจ ได้เรียนรู้ในคราวเดียวกันพร้อมๆ กัน ไม่ใช่การเรียนรู้แบบสมัยนี้ ที่เรียนแต่สมอง ฟังแล้วให้จำเรื่องนั้นแล้วเข้าใจก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจก็ไปท่องๆ กัน สักร้อยเที่ยว
คงไม่ช้าเกินไปหากจะพูดถึงการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Play and learn และคงไม่มีใครปฎิเสธว่าการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ "เพลิน"เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและสร้าง บรรยากาศที่สุขและสนุกในการเรียน เราลองมาดูความหมายของการจัดการเรียนการสอนแบบ Plearn (เพลิน) กันสักหน่อย เผื่ออาจจะทำให้เข้าใจการจัดการเรียนการสอนแบบนี้มากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านอ่านเขียนเรื่องนี้ของ สมหวัง วิทยาปัญญานนท์ ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารFont : CordiaUPC เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ท่านเขียนไว้ดังนี้คะ
" Plearn (เพลิน) คือ Play (เล่น) สนธิคำกับคำว่า Learn (เรียน) ก็เลยเกิดศัพท์ใหม่ ซึ่งตลกดีเหมือนกัน เอาภาษาอังกฤษสองคำสนธิกันเป็นภาษาไทยได้ความหมายดี ซึ่งฝ่ายค้านอาจคิดว่า เล่น + เรียน น่าจะเป็น = เลี่ยน มากกว่า ก็ปล่อยเขาไป คิดเป็นคำตลกก็ได้อรรถรสดี
เรียนอย่างเดียวก็เบื่อ เกิดทุกข์ มีประโยชน์แต่ไม่จูงใจ เล่นอย่างเดียวก็สนุก เกิดสุข แต่ก็ไร้สาระ ไม่เกิดผลดี
จากสองกรณี จึงไม่ใช่ทางสายกลาง จึงทำให้เกิดปัญหาทำให้ต้องหาคำตอบใหม่คือ
“เรียนให้สนุก และเล่นให้ได้ความรู้” และ
“บูรณาการเรียนและเล่นเป็นหนึ่งเดียว จะทำได้อย่างไร”
ตามหลักพุทธ เรียนเพื่อรู้ รู้เพื่อนำมาปฏิบัติ ปฏิบัติก็เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ ผลลัพธ์ที่เกิดก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงค์ชีวิต การงาน และสังคม
การสอนแบบยัดเยียดให้เรียนเต็มเหนี่ยว เต็มที่ก็เพื่อให้รู้ รู้ก็เพื่อเอาไปสอบ สอบเพื่อให้เลื่อนชั้น สอบเพื่อให้เข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ได้ สอบเพื่อปริญญาบัตร ได้ปริญญาบัตรเพื่อเอาไปสมัครทำงาน เวลาทำงานก็แทบไม่ได้ใช้จากสิ่งที่เรียนมาเลย ถึงใช้ก็น้อยมาก ต้องมาเรียนรู้ใหม่ในองค์กร ถ้าถามว่าเรียนมากๆ จนแทบคลั่งนั้นทำเพื่ออะไร คำตอบที่ได้ก็ไม่รู้ที่สอนไปก็เพื่อเป็นอาชีพ เอาค่าเล่าเรียนมาพัฒนาโรงเรียน เด็กน้อยจบจากโรงเรียนจนเป็นผู้ใหญ่ ก็เป็นผลผลิตจากโรงเรียน แต่โรงเรียน ก็ยังใช้แนวทางเดิมๆ สอนอยู่
ชีวิตมนุษย์นั้น หากพิจารณาดูให้ดี เล่นมากกว่าทำงาน เล่นคือทำสิ่งเพลิดเพลิน ทำให้เกิดความสุข แต่ต้องบริโภคนิยมจากการไปซื้อของไร้สาระ การไปเที่ยว การฟังเพลง การกินข้าวนอกบ้าน การดูหนัง จากจัดกิจกรรมสารพัด ยิ่งวัยเด็กนั้นสัตว์โลกเช่น เสือ สิงโต เขาก็เล่น แต่เขาเล่นเพื่อให้ได้ความรู้ โดยที่เขาไม่รู้ตัว การกระโจนหยอกล้อกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกร่างกาย และความคล่องแคล่ว เป็นการเตรียมพร้อมในการจับเหยื่อ (หาเลี้ยงชีพ) ในตอนโตนั้นเอง แบบจำลองการเล่นของลูกเสือ ก็อาจเป็นตัวอย่างที่ดี ในการเรียนรู้แบบเล่น เรียน ซึ่งเป็นวิถีธรรมชาติ ไม่เครียด และสนุก พร้อมได้ฝึกปฏิบัติด้วย โดยที่ มือ - สมอง – ใจ ได้เรียนรู้ในคราวเดียวกันพร้อมๆ กัน ไม่ใช่การเรียนรู้แบบสมัยนี้ ที่เรียนแต่สมอง ฟังแล้วให้จำเรื่องนั้นแล้วเข้าใจก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจก็ไปท่องๆ กัน สักร้อยเที่ยว
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)